
4Kings หนังใหม่ สงครามระหว่าง ศักดิ์ศรี ดูหนัง เต็มเรื่องที่นี้เท่านั้น
เป็นหนังที่บอกเลยว่า เป็นกระแสที่มาแรงมากๆ ยิ่งกลุ่มเด็กอาชีวะ เลือดร้อนกันแน่ๆถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้ หยอกๆ เป็นภาพยนตร์ไทยที่ทุกคนต่างจับตามองตั้งแต่ยังไม่เข้าฉาย สำหรับ 4KINGS ภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มนักเรียนอาชีวะยุค 90 ซึ่งกลั่นกรองมาจากประสบการณ์จริงของผู้กำกับ พุฒิ-พุฒิพงษ์ นาคทอง
ด้วยองค์ประกอบหลายส่วนที่ถูกเผยออกมาในตัวอย่าง ล้วนถูกนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจและชวนติดตาม ทั้งพล็อตเรื่องที่กล่าวถึงกลุ่มนักเรียนอาชีวะ ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะถูกหยิบมาบอกเล่าเป็นภาพยนตร์, ฉากหลังของเรื่องที่อยู่ในยุค 90, ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาของเหล่าทัพนักแสดงนำ, งานโปรดักชันที่ดูสมจริงสมจัง ฯลฯ
แต่อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ตัวอย่างถูกปล่อยออกมาไม่นาน ก็มีผู้ชมบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการหยิบนำเรื่องราวของกลุ่มนักเรียนอาชีวะ ซึ่งมักจะถูกสังคมมองในแง่ร้ายมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์อยู่เช่นกัน
ความน่าสนใจของ 4KINGS จึงไม่ใช่แค่องค์ประกอบอันโดดเด่นของภาพยนตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเนื้อหาในหนังด้วยว่าจะนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มนักเรียนอาชีวะออกมาในรูปแบบไหน
สำหรับ 4KINGS พุฒิเคยถ่ายทำตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งมีความยาว 15 นาทีมาแล้วเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน หลังจากนั้นจึงได้รับการต่อยอดให้กลายเป็นภาพยนตร์ขนาดยาวในที่สุด
สำหรับเวอร์ชันภาพยนตร์ จะพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปในปี 2538 เพื่อติดตามเรื่องราวของ บิลลี่ (จ๋าย-อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี) ดา (เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ) และ รูแปง (ภูมิ รังษีธนานนท์) สามเพื่อนซี้จากอินทรที่ร่วมเป็นร่วมตายในการประจันหน้ากับสถาบันคู่อริมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น โอ๋ ประชาชล (นัท-ณัฏฐ์ กิจจริต), มด ประชาชล (โจ๊ก-อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ), เอก บุรณพนธ์ (ทู-สิราษฎร์ อินทรโชติ) และ บ่าง กนก (แหลม-สมพล รุ่งพาณิชย์)
ควบคู่ไปกับการพาผู้ชมไปสำรวจปัญหาต่างๆ ที่แต่ละคนต้องเผชิญ ไล่ตั้งแต่ บิลลี่ ที่ถูกครอบครัวไล่ออกจากบ้านเพราะชอบต่อยตีกับคนอื่นเป็นประจำ และ ดา ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวของแฟนสาว ฯลฯ
อย่างที่เรากล่าวไว้ในตอนต้นว่าความโดดเด่นของ 4KINGS ที่ชวนให้เรารู้สึกสนใจมากๆ คือองค์ประกอบต่างๆ ภายในเรื่อง ซึ่งเราคิดว่าผู้กำกับและทีมสร้างสามารถนำเสนอองค์ประกอบเหล่านั้นออกมาได้ค่อนข้างลงตัว
เริ่มต้นที่องค์ประกอบเล็กๆ อย่างการนำเสนอบรรยากาศของยุค 90 ทั้งบัตรจีบ, ตู้เพลง, โทรศัพท์บ้าน, เพจเจอร์, สมุดเพลง, เพลงยอดฮิตของวงหินเหล็กไฟ ไปจนถึงคำพูดติดปากและมุกตลกต่างๆ ที่คนในยุคนั้นต่างคุ้นเคยออกมาได้ครบถ้วน และสำหรับผู้ชมที่ไม่ได้เติบโตมาในยุค 90 ก็จะได้สัมผัสกับมนตร์เสน่ห์ของยุคแอนะล็อกที่ไม่ได้มีให้เห็นแล้วในยุคนี้
ไปจนถึงการพาเราเข้าไปสำรวจบรรยากาศของบ้านเมตตา เพื่อนำเสนอว่าเหล่านักเรียนอาชีวะยุค 90 ที่ต้องเข้าไปอยู่ภายในนั้น พวกเขาต้องพบเจอกับอะไรบ้าง อาหารที่กินเป็นอย่างไร สังคมภายในนั้นเป็นอย่างไร รวมถึงการลงโทษของผู้คุมที่ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสมจริง
และหนึ่งในองค์ประกอบที่เราชื่นชอบมากที่สุด คือการออกแบบคาแรกเตอร์ของตัวละครทุกตัวที่มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ไม่มีใครโดดเด่นกว่าใคร ซึ่งเราต้องขอปรบมือให้กับนักแสดงทุกคนที่ถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของแต่ละตัวละครออกมาได้อย่างมีมิติ
จุดเริ่มต้นของเรื่องเริ่มที่ จ๋าย-อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี นักร้องนำวง Taitosmith ในบทบาทของบิลลี่ ที่ถูกครอบครัวผลักไสไล่ส่งเพราะชอบสร้างเรื่องเดือดร้อนอยู่เสมอ, เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ ในบทบาทของ ดา ที่รักและห่วงใยเพื่อนฝูงเหมือนเป็นครอบครัวของตัวเอง รวมถึง นัท-ณัฏฐ์ กิจจริต และ โจ๊ก-อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ ในบทบาทของ โอ๋ และ มด ที่ถ่ายทอดความน่าเกรงขามและความไม่กลัวใครออกมาได้อย่างมีเสน่ห์
ส่วนนักแสดงที่เราชื่นชอบมากที่สุดและอยากกล่าวถึงเป็นการส่วนตัวคือ ภูมิ รังษีธนานนท์ ในบทบาทของ รูแปง ที่เรียกว่าเป็นตัวแย่งซีนประจำเรื่องก็คงจะไม่ผิดนัก ทั้งฝีปากและท่าทางยียวนกวนประสาท คำคมต่างๆ นานาที่ดูเหมือนจะมากเกินความพอดี แต่กลับลงตัวอย่างน่าประหลาด ไปจนถึงความใจกล้าบ้าบิ่นและความคมเข้มของเขาเมื่อต้องเผชิญกับคู่อริ ภูมิก็นำเสนอออกมาได้ดีไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าการแสดงของภูมิในบทบาทของรูแปง คือตัวละครที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างน่าจดจำ ดูหนังออนไลน์ กับเราที่นี้
เมื่อองค์ประกอบต่างๆ ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างลงตัว มันจึงยิ่งส่งผลให้แกนหลักสำคัญของภาพยนตร์ที่ผู้กำกับและทีมสร้างต้องการจะนำเสนอทรงพลังมากขึ้นเป็นเท่าตัว นั่นคือการพาผู้ชมไป ‘ทำความรู้จัก’ และ ‘ทำความเข้าใจ’ เหล่านักเรียนอาชีวะยุค 90 ผ่านบริบทต่างๆ ที่พวกเขาต้องพบเจอ มากกว่าที่จะพาเราไปหาคำตอบว่าทำไมพวกเขาถึงตีกัน
ยกตัวอย่างเช่น เราจะได้เห็นว่าครอบครัวของบิลลี่เลือกที่จะกระทำกับตัวของบิลลี่อย่างไร แล้วมันส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของบิลลี่อย่างไร และสิ่งเหล่านี้มันส่งผลมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างบิลลี่กับดาและรูแปงอย่างไร
ขณะเดียวกัน ผู้กำกับอย่างพุฒิก็ไม่ได้นำเสนอเรื่องราวของเหล่านักเรียนอาชีวะเพียงแง่มุมเดียวเท่านั้น เพราะพุฒิยังนำเสนอให้ผู้ชมได้เห็นด้วยว่า การกระทำของทุกตัวละครภายในเรื่องมันส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนรอบข้างอย่างไร ผลของการกระทำเหล่านั้นมันส่งต่อความคิดและความรู้สึกของพวกเขาอย่างไร และพวกเขาจะจัดการแก้ไขและเรียนรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะมีเหตุผลที่หนักแน่นขนาดไหนมารองรับ การทะเลาะวิวาทของนักเรียนอาชีวะล้วนเป็นการสร้างความเดือดร้อนและบาดแผลทั้งกายและใจแก่คนรอบข้างอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
แต่ถ้าหากเราต้องการจะหาคำตอบจริงๆ ว่า ‘อะไร’ ที่ทำให้พวกเขาเลือกเดินในเส้นทางสายนี้ และ ‘ทำไม’ พวกเขาถึงรักเพื่อนพ้องและสถาบันมากขนาดนี้
การได้ลองเข้าไปสำรวจเรื่องราวในทุกแง่มุมของพวกเขาเพื่อ ‘ทำความเข้าใจ’ ก็ดูจะเป็นหนทางที่เหมาะสม ในการพาเราไปสู่ต้นตอของปัญหาและค้นหาวิธีการแก้ไขอย่างถูกต้อง มากกว่าการตัดสินพวกเขาเพียงแค่เปลือกนอก เรื่องนี้มีบทเรียนที่มากมายอยู่ที่ว่าแต่ละคนจะเข้าใจกันได้แค่ไหน สำหรับตัวแอดมินเอง คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันอาจจะจบ แต่มันก็ยังเป็นแผลในใจสำหรับคนที่สูญเสียคนสำคัญไป จึงทำให้ความรู้สึกที่อยากแก้แค้นนั้นยังคงมีอยู่ สรุปเลยว่า “ต่อให้เรื่องจบแต่ความรู้สึกทั้งหมดของคนที่สูญเสียยังคงอยู่ในใจ”
1.เป้ – อารักษ์ อมรศุภศิริ รับบท “ดา อินทร”
“…ก็ต้องบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่อัตชีวประวัติของใครเลยที่พูดชื่อมา แต่เป็นเรื่องราวชีวิตของ ‘พุฒิ’ (ผู้กำกับ) ในฐานะของเด็กช่าง แล้วเอาชื่อของตำนานเด็กช่างมาตีความใหม่จนออกมาเป็นตัวละคร ก่อนที่ผมจะศึกษาชีวิตของ ‘พี่ดา อินทร’ ตัวจริง แล้วนำมาประกอบกัน ในส่วนมุมมองต่อเด็กช่าง ตอนเด็กๆ รู้สึกว่าน่ากลัวและเป็นภัยสังคมประมาณนึงครับ ในขณะเดียวกัน พอเราโตขึ้นมา คนที่เรียนสายนั้น ก็เป็นคนดีๆ เยอะแยะ เค้าก็โตมามีอนาคตที่ดี ก็รู้สึกว่ามันเป็นแค่ทางแยกของวัยรุ่นน่ะ ตัวเราเองยังออกไปชกต่อยอะไรบ้างเลย แต่เหมือนกับตรงนั้น สถาบัน สภาพแวดล้อม หรือการสั่งสอน มันทำให้เค้าเป็นแบบนั้น ทางเลือกมันอาจจะมีไม่เยอะหรอก มันมีแหละ…แต่อยู่ที่ว่าเค้าเลือกทางไหน ถ้าเค้าเลือกทางนั้นแล้ว ดีกรีความสุดของมันก็ค่อนข้างไปไกล…
2.จ๋าย – อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี รับบท “บิลลี่ อินทร”
“มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมเหมือน ‘บิลลี่’ ต้องการการยอมรับและความรักจากใครสักคนที่มาเติมเต็ม แล้วผมว่าสถาบันแรกที่เค้าเรียกร้องก็คือ ‘ครอบครัว’ แต่ว่าครอบครัวมันไม่เติมเต็ม เราก็เลยไปเรียกร้องจาก ‘เพื่อน’ ส่วนเรื่องการเรียน ผมเรียน 2 รอบ รอบแรกผมเรียนอาชีวะ แต่เรียนไม่จบ เกเร แล้วก็ค่อยมาเรียนสายสามัญ มุมมองต่อคำว่า ‘เด็กช่าง’ เค้าก็คือเด็กปกตินี่แหละฮะ แค่เรียนสายอาชีพ ผมคิดแค่นั้นนะ เพราะว่าจากประสบการณ์ที่ผมเรียนทั้งช่างแล้วก็สายสามัญมา เด็กที่เค้าเฮ้วๆ จริงๆ ก็มีทุกสถาบัน…
3.โจ๊ก – อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ รับบท “มด ประชาชล”
“หนังเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มี ‘พุฒิ’ นะครับ เพราะว่าเค้าก็พยายามมาหลายปี ผมเคยดูเวอร์ชั่นที่เป็นเดโม่ 15 นาที หลังจากนั้นพุฒิก็โทรมา อยากให้เรารับบทเป็น ‘มด’ ก็เลยพูดคุยกัน พุฒิก็พูดจาดี พยายามอธิบายว่าอยากให้เรามาทำอะไร ผมก็เลยถามว่ามีใครบ้าง พอรู้ว่ามีจ๋าย มีเป้ ผมก็เลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวเราก็ทำงานด้วยกันละกัน…
4.นัท – ณัฏฐ์ กิจจริต รับบท “โอ๋ ประชาชล”
“จริงๆ แล้วจะเด็กช่างหรือเด็กอะไรก็ตามแต่ เค้าก็เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่ต้องเจอประสบการณ์แตกต่างกันไป ทีนี้ไอ้คำว่า ‘เด็กช่าง’ ก็เหมือนถูกเอามาแขวนยี่ห้อเอาไว้ตอนหลังมากกว่า ดังนั้น การมารับบทเป็นเด็กช่าง สำหรับผม ต้องตัดคำว่า ‘เด็กช่าง’ ไปไกลๆ ก่อน แล้วดูว่าตัวละคร ‘โอ๋ ประชาชล’ ต้องการอะไร แบคกราวด์ และนิสัยใจคอเค้าเป็นยังไงมากกว่า
5.ภูมิ รังษีธนานนท์ รับบท “รูแปง อินทร”
“ซีนที่ผมประทับใจที่สุด คือซีนที่สามโรงเรียนต้องมาเจอกันบนถนนแล้วก็ตีกันครับ ผู้กำกับประกาศเลย เฮ้ย! เดี๋ยวร้านค้าตรงกลางนะครับ สามารถหยิบขวด หยิบอะไรปากันได้เลยนะครับ เหมือนของจริงเลยครับ ทำลายล้างเลยครับ แต่ไม่มีคิวอะพี่คิดดูดิ ผมก็แบบเฮ้ย! อะไรวะเนี่ย แล้วแบบถึงเวลาจริงคือข้างในนั้นมีแต่เอ็กซ์ตร้าที่เป็นเด็กช่างตัวจริงเลย สั่งคัตแล้วก็ยังใส่กันอยู่ข้างหลัง ผมก็…เอาแล้ว ฉากนี้แม่งโคตรมันส์ ประทับใจผมมากเลย มีคนมีคนหัวแตกไปหนึ่ง แขนหักไปอีกหนึ่งครับวันนั้นน่ะ ก็เลยสนุกสนานมากเลย เกือบตายครับ โชคดีที่พี่เป้ช่วยไว้ ฮ่าๆๆ เป็นความมันส์บวกกับความต้องเอาตัวรอดกันเอง เหมือนสนามรบ สะใจดี ในหัวผมมีแต่คำว่า…ต้องหนี! ต้องหลบ! คือถ้ากล้องไม่แพนมา ผมก็จะไปอยู่ริมกำแพงอะ กลัว!
6.ทู – สิราษฎร์ อินทรโชติ รับบท “เอก บุรณพนธ์”
“ผมไม่เคยต่อยตีกับใคร ไม่เคยมีเรื่อง ผมเป็นสายแบบ…ไม่อยากมีเรื่องอะ! ผมจะชอบอยู่คนเดียว แต่ถ้ามีเรื่องก็จะใช้ ‘วาจา’ มากกว่า สิ่งที่ได้มาระหว่างเวิร์คช้อป คือความเข้าใจในคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ เพราะผมไม่เคยมองในมุมนี้มาก่อน คือถ้าเจอในสถานการณ์จริง ยังไงผมก็หนีอยู่แล้ว ก็คือไม่มีศักดิ์ศรี กูจะเอาชีวิตรอด แต่ในหนังเรื่องนี้ ตรงนี้มันคือพื้นที่ของกู เขตของกู กูคุมอยู่ อะไรประมาณนี้ ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ดี…